วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ปิดบล็อกชั่วคราว!!!

     เป็นเรื่องน่าเศร้ามากมาย ที่ผมต้องประกาศว่า PooMii BLoG  จะปิดตัวลงชั่วคราวนะครับ เพราะว่าช่วงนี้เริ่มเรียนพิเศษแล้ว ไหนจะเตรียมตัวกับ ม.4 อีกเยอะแยะ ซึ่งผมคิดว่าถ้าต้องปรับตัวไปเขียนบล็อกไป คงไม่ดีแน่ ทั้งกับตัวผมเอง และกับทุกๆคนที่อ่านด้วย ผมเลยตัดสินใจว่าจะปิดบล็อกชั่วคราว เพื่อจัดการเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะกลับมาดูแลบล็อกอีกทีนะครับ
     บอกไว้ก่อนเลยว่าที่ปิดบล็อกนี่ไม่ใช่ว่าไม่มีไอเดียเขียน Gods Slayer นะครับ เพราะไอเดียนะมีอีกเยอะ คาดว่าคงอีกหยายตอน(มาก)กว่าจะจบ แต่ก็รู้สึกว่าโชคดี ที่ปิดช่วงแรกทัน ช่วงที่สองจะเป็นเรื่องราวตอนที่กันย์และ"เคียว-คิคัง"จะร่วมมือกันล่าล้างพวกเทพทั้งหลายนะครับ ซึ่งผมอาจจะมีภาพประกอบให้ด้วย(ขอบอกว่าจักรเท่โคตรๆ อิอิ) เพราะงั้นเลยอาจจะช้าลงอีกนะครับ
     คาดว่าบล็อกคงจะเปิดอีกครั้งในไม่ช้า เพราะผมเองก็อยากเขียน GS ต่อให้จบเรียบร้อยเหมือนกันนะครับ สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณหลายๆคนที่ติดตามอ่าน GS มาเรื่อยๆนะครับ ถึงแม้จะมีแค่ไม่กี่คน และบล็อกของผมเองก็ไม่ใช่บล็อกที่ดังมากมาย แต่ก็ขอบคุณจริงๆครับ!!! 

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

Gods Slayer : เกมฆ่า ล่าล้างเทพ [ บทที่ 3 ]

บทที่ 3 : Team & Theme

     หลังจากได้รับภารกิจผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวทันที เพราะว่าภารกิจการรวมตัวกับ Slayer คนอื่นให้ได้ 5 คนเพื่อจัดทีม 
     ปี๊บๆ ปี๊บๆ ปี๊บๆ...   โทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นมา คนที่โทรมาหาผมคือกรกฎ หนึ่งใน Slayer และเพื่อนของผมเอง
     "ไง ได้รับภารกิจรึยัง" กรกฎถามเสียงใส
     "อือ แล้วเอาไงดีละ" ผมถามกลับ
     "เอางี้นะ รวมตัวกัน 3 คนก่อน เอาเป็นที่ BTS สยามละกัน" กรกฎบอกที่นัดหมาย
     "ได้ งั้นอีกสามสิบนาทีเจอกันนะ เอาเป็นบันไดใกล้ๆซอย 5 ละกันนะ" ผมระบุให้ชัดเจนขึ้น
     "อื้ม แค่นี้นะ... ปี๊บ....." กรกฎวางสายไป
     ผมเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่น เห็นมีนกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่จึงบอกไปว่า
     "มีน พี่ไปข้างนอกหน่อยนะ"
     "หืมมม ไปไหนอะค่ะ" มีนถาม
     "สยามนะ เย็นๆจะกลับนะ"
     "แล้วข้าวเย็นละ หรือจะเอาเป็นสั่งมาทานอีก?"
     "อ๊ะ อย่าเชียวนะ เงินของพี่เดือนนี้แทบไม่เหลือแล้วนะ เพราะเธอเอาแต่สั่งของแพงๆน่ะ"
     "เอ๋~~~ ก็หนูทำอาหารไม่เป็นนี่นา" น้องสาวตัวแสบทำหน้าตาออดอ้อน
     "ก็ได้ๆ เดี๋ยวพี่ซื้อเข้ามาเอง"
     "ค่า~~~ กลับไวๆน้าค้า~~~"


     ผมมาถึงที่นัดก่อนเวลาประมาณ 5 นาที กรกฏเป็นคนตรงต่อเวลามาก ขาดนิดเกินหน่อยไม่ได้ เธอจึงยังไม่มาถึง ส่วนจักรเองก็คงมาถึงในเร็วๆนี้ ผมยืนดูข้อความเสนอโปรโมชั่นต่างๆในกล่องขาเข้าของผมไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลา ทันใดนั้นเอง
     "ไง นายเองก็เป็นเหมือนผมสินะ ...โอ โนะ ฮาเนะ"
     ผมหันไปมองตามเสียงนั้น มีเด็กผู้ชายผมสีฟ้ายืนอยู่ แบกอะไรซักอย่างที่รูปร่างเหมือนไม้พลองไว้บนหลัง เพียงแค่มันถูกห่อไว้เท่านั้น
     "เมื่อกี้ นายเรียกฉันว่าไงนะ" ผมถามเพื่อความแน่ใจ
     "โอ โนะ ฮาเนะ [羽根] ...คมดาบแห่งกษัตริย์ไงละ"
     "อ... น... นายคือ Slayer งั้นเหรอ"
     "เทนโกคุ โนะ ยาริ [天国] หอกแหลนแห่งแดนสวรรค์ เรียกผมว่า 'เทน' ก็ได้ครับ"
     "ฉันไม่ได้ถามฉายา ชื่อของนายละ"
     "บอกไม่ได้ครับ" เทนตอบกลับทันควัน
     "หมายความว่าไงบอกไม่ได้"
     "อย่ารู้จะดีกว่าครับ ไม่อยากให้เพื่อนร่วมทีมต้องลำบากใจ" หมอนี่หมายความว่าไงนะ
     "เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน เพื่อนร่วมทีม?"
     "ครับ ผมจะมาขอร่วมทีมด้วยนะครับ" เทนยิ้ม
     "เดี๋ยวก่อนๆ ฉันไม่ใช่หัวหน้าทีมหรอกนะ ต้องรอกรกฎกับจักรตัดสินใจด้วย"
     "งั้นเหรอครับ ก็ได้ครับ ผมคิดว่าคนอย่าง 'มาโฮวซึไค [魔法使い]' คงไม่ว่าอะไร"
     "ไง มาถึงก่อนเหรอ กันย์" กรกฎเดินเข้ามาทักทาย
     "โอ้ นอนหลับฝันดีมั้ยเอ่ย?" จักรถามเชิงหยอกล้อ
     "เอ๊ะ นั่นใครนะ" กรกฎถามหลังจากสังเกตุเห็นเทน
     "ผม หอกแหลนแห่งแดนสวรรค์ 'เทน' ได้รับภารกิจให้รวมทีม จึงอยากอยู่ทีมเดียวกับพวกคุณนะครับ"
     "อ๋อ อื้ม ได้เลยๆ งี้ก็ขาดอีกคนซินะ" กรกฎตอบรับหน้าตาเฉย
     "เฮ้ยๆ จะดีเหรอกรกฎ" ผมกระซิบข้างหูเธอ
     "ทำไมละ หาง่ายๆไม่ชอบเรอะ"
     "ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงว่าหมอนี่เชื่อใจได้เรอะ"
     "ไม่ต้องห่วงหรอก Slayer ทุกคนมีเป้าหมายของตัวเอง สุดท้ายแล้วก็ต้องแย่งชิงกันอยู่ดี"
     "อา... อื้ม" ผมอดคิดถึงตอนที่พวกเราสามคนต้องแย่งชิงรางวัลกันเองไม่ได้
     "ทุกคน...ซินะ" ผมพูดเบาๆ
     "เอาละๆ เหลืออีกคนเดียว เพราะฉะนั้น จัดการเลยจักร!" กรกฎพูดแล้วชูนิ้วชี้ขึ้นเหมือนประกาศความสำเร็จ
     "จัดให้เลย หึหึ" จักรใช้สองมือปิดหูตัวเองไว้ แล้วหลับตาลง
     "ทำอะไรนะ" ผมถามกรกฎ
     "หนึ่งในเวทย์มนต์ของจักรไงละ Slayer Detector" กรกฎอธิบาย
     "....มาจุทสึ...." เทนเอ่ยออกมา
     "เจอแล้ว! ทางนั้น" จักรลืมตาขึ้น แล้ววิ่งนำไปทันที
     "ตามไปเร็ว" กรกฎสั่ง แน่นอนว่าพวกผมที่เหลือวิ่งตามไปในทันที

     พวกเราวิ่งไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ขึ้นบันได 4 ชั้น และเราก็ได้พบกับ.....โรงเรียนกวดวิชา
     "นี่มัน...อะไรว่ะเนี่ย" ผมร้องถามจักร

     "...ออกมาแล้ว" จักรพูดออกมา
     มีเสียงผู้คนกระซิบกระซาบกันซึงแซ่ ทุกคนต่างมองไปที่ประตูของโรงเรียนกวดวิชานั้นเป็นตาเดียว ผู้ที่ดึงดูดให้ทุกคนจ้องมองนั้นคือเด็กสาววัยรุ่น อายุไม่น่าเกิน 18 ผอมสูง ผิวขาวผ่อง ดวงตาสีน้ำผึ้งงดงามสะท้อนแสงอยู่ในตา ผมสีขาวยาวสลวย มีหูแมวขนปุกปุยอยู่บนศีรษะและหางแมวโผล่ออกมาจากกระโปรงยาวพริ้วของเธอ
     "นี่มัน... คอสเพลย์งั้นเรอะ" ผมเอ่ยออกมาเบาๆ
     "เนโกะมิมิ []..." เทนพูดพลางทำตาเป็นประกาย
     "ฉันจัดการเอง พวกนายรออยู่นี่แหละ" กรกฎพูด แล้วเดินเข้าไปหาคอสเพลเยอร์สาวคนนั้น


     พวกเราคิดว่ากรกฎคงไปไม่นาน แต่ว่าคงคิดผิด ผ่านไป 10 นาทีกรกฎก็ยังไม่กลับมา พวกเราจึงไปนั่งลงตรงม้านั่งแถวๆนั้น
     "จักร เมื่อกี้นายใช้พลังอะไรนะ เวทย์มนต์เหรอ" ผมเปิดประเด็น
     "ใช่แล้วละ แต่ใช้ได้วันละครั้งละนะ" จักรตอบ
     "นายเป็นอะไรกันนะ ฉันไม่เขื่อหรอกนะว่านายจะเป็นพ่อมดอะไรพรรค์นั้นนะ"
     "พลังแท้ไงละครับ" เทนตอบแทนจักร
     "อะไรละนั่น" ผมหันไปมองเทน
     " Slayer อย่างพวกเรานะ จะมีพลังพิเศษกันคนละอย่างสองอย่างครับ พวกเราเรียกมันว่า'พลังแท้' ส่วนอาวุธที่โผล่ออกมาให้โลกเทียม ก็คือพลังเทียม" เทนอธิบาย
     "เข้าใจละ เออนี่ แล้วพวกเทพมีกี่แบบหรอ เห็นกรกฎเรียกวอลเฟนว่าเทพร่างสัตว์นี่"
     "ครับ เทพมีทั้งหมด 3 แบบ [สัตว์] [ธาตุ] และ [จิต] แต่พวกจิตหาพบได้ยากมากครับ"
     "อื้มม แล้วพลังแท้ของฉันคืออะไรละเนี่ย"
     "ไม่มีใครรู้นอกจากตัวนายเองหรอกน่า" จักรพูดพลางมองมือตัวเอง
     "แล้วเทนละ มีพลังอะไรเหรอ?"
     "อ๋อ ของผมน่ะ..."
     "กรี๊ดดดดดดด"   บึ้ม!!!
     สิ้นเสียงระเบิด ผู้คนต่างวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง เหลืออยู่เพียงสองร่างเท่านั้น ร่างหนึ่งนอนอยู่กลางควันระเบิด อีกร่างกำลังเดินเข้ามาใกล้
     "กรกฎ!!!" ผมตะโกนเรียกเพื่อนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น
     แต่สายไปซะแล้ว นักคอสสาวอยู่ใกล้เกินกว่าที่ผมจะวิ่งไปทัน มือของนักคอสสาวกำลังจะถึงลำคอของกรกฎซะแล้ว
     ตูม!!!   เทนพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ คว้าเอาร่างกรกฎไว้ได้ก่อนที่จะเสียท่า
     "ชิ อย่ามายุ่งน่าแก!" นักคอสสาวแผดเสียงกร้าว
     "นี่เป็นเพื่อนร่วมทีมของผม ไม่ยอมให้ทำร้ายง่ายๆหรอกนะครับ" เทนตอบเสียงแข็ง
     "แก! คิดจะทำอะไรนะ" จักรตะคอกใส่เธอ
     "...ยะ ...อย่านะ ...สู้ไม่ได้หรอก" กรกฎได้สติแล้วพยายามพูดออกมา
     "นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยกรกฎ" ผมถามด้วยความสงสัย ว่าทำไม Slayer ถึงได้ทำร้ายพวกเดียวกัน แถมยังทำให้กรกฏบาดเจ็บได้ขนาดนี้
     "ยัยนั้นบอกว่าพวกเราอ่อนแอเกินไป ถ้าอยากได้เธอมาร่วมทีมก็ให้สู้ให้ชนะเธอ" กรกฎตอบ
     "ใช่แล้วๆ ฮิฮิฮิ" นักคอสสาวเดินยิ้มย่องเข้ามาหาพวกผม
     "เธอ... คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่นะ!" ผมพูดใส่เธอเสียงดัง
     "ก็คัดเลือกไง คัดเลือกสมาชิกที่ดีที่สุด เพื่อจะได้ชนะไงละ แต่ยัยนั่นนะ อ่อนแอสุดๆเลยน้า"
     "......"
     "ว่าไงละพวกนาย เข้ามาพร้อมๆกันเลยก็ได้น้า รินจังไม่ขัดข้องอยูแล้วน้า" รินพูดแล้วทำท่าน่ารักใส่ แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่มีเพียงแค่จะอัดเธอให้สำนึกเท่านั้น
     "เทน ไม่ต้อง นายด้วยนะจักร" ผมเอ่ยปากห้ามเทนที่กำลังจะแกะห่อผ้าออกมา
     "แต่ว่า..." เทนและจักรพูดพร้อมกัน
     "ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันเอาอยู่" ผมมั่นใจว่ากับแค่ยัยนักคอสนิสัยเสียนี่ ไม่น่าเกินมือผม
     "ต๋ายตาย มั่นใจจริงนะ เข้ามาเลย" รินส่งเสียงยั่วประสาท
     "ย้ากกกกกกกก" ผมวิ่งเข้าไปหาเธอ ง้างหมัดขวาเตรียมตัวต่อย แต่ทว่าเธอหลบได้อย่างพริ้วไหว แล้วฟาดหน้าแข็วเรียวเล็กแต่ทรงพลังเข้ามาเต็มๆสีข้างผม
     "ง้างหมัดมาแต่ไกลเลยนะ กลัวคนไม่รู้เหรอไงว่าจะต่อยนะ" รินพูดถากถาง ผมพุ่งเข้าไปอีกครั้ง แต่รินก็หลบได้อีก และเอามือเหวี่ยงผมกระเด็นไป
     "แต่รินจังก็ไม่ได้บอกให้พุ่งเข้ามาโดยไม่เตรียมตัวจู่โจมน้า" รินพูดแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย
     "นายสองคนนะ จะรอให้หมอนี่ตายก่อนแล้วค่อยเข้ามาเหรอไงห๊ะ" รินพูดแล้วมองไปทางจักรกับเทน
     "ฉัน...ยังไม่แพ้หรอกน่ะ!!!" ผมตะโกนแล้วพุ่งเข้าไปอีก รินหลบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่พ้น ผมเหวี่ยงขาขวาออกไป พลั่ก! เข้าไปเต็มๆหน้าริน ทำเอารินกลิ้งไปชนกับกำแพง
     "บังอาจมากนะแก ถ้าเกิดรินจังไม่น่ารัก จะรับผิดชอบยังไงย่ะ" รินตะโกนเสียงแหลม แล้วพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว เร็วมากจนผมมองไม่ทัน
     เปรี้ยง! พลั่ก! บึ้ก! ตู้ม!    รินเตะตัดขาผม ทำเอาผมเสียหลัก แล้วจึงถีบเข้าที่ท้อง ตามด้วยชกเข้าที่หน้า ปิดฉากด้วยถีบขาคู่เข้าเต็มหลัง ผมกระเด็นไปชนลังใส่ของ ทำให้แก้วที่อยู่ข้างในแตกกระจายออกมา
     "อ๊ากกกกกก" ผมร้องอย่างเจ็บปวด หลังจากที่เศษแก้วทิ่มเข้าที่แขนขวาของผม
     "ต๋ายตาย เลือดไหลแล้วอะ ทำไงดีๆ ฮิฮิ" รินทำท่าล้อเลียน แล้วเดินเข้ามาหาผม
     "กันย์!" จักรวิ่งเข้ามาหาผม แต่โดนเทนขวางเอาไว้ 'ดีมากเทน อย่างน้อยนายก็เป็นคนที่รู้จักรักษาเกียร์ติคนอื่นละนะ' ผมคิด เพราะว่าผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นอย่างมาก จึงไม่อยากถูกคนอื่นช่วยเป็นที่สุด
     "ลาก่อนนะจ๊ะ" รินพูด แล้วพุ่งเข้ามาในทันที
     'พลังแท้' ของผมคืออะไรนะ สุดท้ายก็ไม่ได้รู้เรอะเนี่ย บ้าจริงเลยนะ สิ้นความคิดของผม พื้นรอบๆตัวผมก็แตกออก ทำให้ทั้งผมและรินร่วงลงไป
     หมับ!   ผมจับขอบพื้นที่แตกไว้ได้ทัน อีกมือก็จับมือของนักคอสสาวไว้
     "นายทำบ้าอะไรนะ ปล่อยฉันนะ" รินพูดแล้วดิ้นไปมา
     "อยากตกไปตายเรอะไงนะ นิ่งๆเซ่" ผมพูด
     "ตายก็เรื่องของฉันสิ นายมายุ่งอะไรเล่า"
     "เรื่องของเธอที่ไหนกันละ ฉันตัดสินใจแล้ว เธอเก่งมาก เพราะฉะนั้นเธอต้องมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมเรา!" สิ้นเสียงประกาศกร้าวของผม รินก้มหน้าลง แล้วพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ
     "อย่านะ...อย่ามาทำดีกับฉันนะ..."
     "ว่าแต่จะขึ้นไปยังไงละเ..." ผมพูดไม่ทันจบ เทนก็มาดึงมือพวกผมสองคนขึ้นไป
     "ผมแค่จะมาช่วยเธอนะครับ ไม่ได้จะช่วยคุณหรอก" เทนพูดกับผม
     "อา.. ยังไงก็ขอบใจละกัน" ผมบอกกับเทน เทนตอบกลับมาด้วยการยิ้มน้อยๆ
     "นั่นนะ นายพูดเองเออเองไม่ใช่เรอะไงย่ะ ที่จะเอายัยนั่นมาร่วมทีมนะ" กรกฎพูดกับผม
     "อ่า... รินเองก็เก่งไม่ใช่เหรอ ก็ดีแล้วนี่นา" ผมพูดเสียงอ่อย
     "ขอโทษนะ ที่นายพูดว่าจะเอาฉันร่วมทีมนะ จริงรึเปล่า" รินเดินเข้ามาหาผม
     "ก็จริงนะสิ ริน จากนี้เธอคือเพื่อนของเรานะ" ผมพูดกับริน
     "อ๊ะ..." รินไม่พูดอะไร อยู่ดีๆก็ก้มหน้าไป
     "เหวอ!" ผมอุทานออกมา เพราะที่ดวงตาสีน้ำผึ้งกลมโตของรินมีน้ำตาคลออยู่
     "ขอบคุณนะ ขอบคุณนะ" รินพูดขอบคุณพลางร้องไห้ไปพลาง ผมอดคิดไม่ได้จริงๆว่าอะไรกันนะ ทำให้คนบ้าการต่อสู้แบบเมื่อกี้ร้องไห้ได้ เพราะคำว่า'เพื่อน'ที่ผมพูดออกไปงั้นเหรอ...
     ครืด... ครืด... มือถือของทุกคนสั่น(ยกเว้นของรินที่มีเสียงแมวร้องเมี๊ยวๆแทน)
     Mission Complete! : ภารกิจที่ 1 สำเร็จ
     "ให้ตายเถอะ ยัยมาริน แอบดูอยู่ที่ไหนกันนะ" ผมพูดกับตัวเอง

     ผมได้รับมอบหมายให้เป็นคนคิดชื่อทีม ซึ่งกรกฎบอกว่าเอาชื่อเท่ๆ จักรบอกว่าเอาชื่อแนวๆ รินบอกว่าเอาชื่อน่ารักๆ เทนบอกว่าเอาชื่อภาษาญี่ปุ่น(ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าเทนมาจากประเทศอะไร แต่ก็ยังไม่รู้ชื่อจริงๆอยู่ดี)
     "บ้าจริง ไอ้พวกนี้ เอาแต่ใจจริงๆนะ" ผมบ่น ขณะที่มือขวาจับปากกาและอีกมือกำลังเปิดหาคำศัพท์ใน [พจนานุกรม ไทย-ญี่ปุ่น]
     "เอาละ... ชื่อนี้ล่ะ!" ผมพูดกับตัวเอง แล้วโยนกระดาษที่มีภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า [Kyo-Kikan -凶汉機関- ]

Next Chapter : Cooperation!

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

April Fool's Day Special : TRUST

TRUST

1/4/2554


10:45 น.
     ........ปี๊บ... ปี๊บ... ปี๊บ...   เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น บังคับให้ผมต้องตื่นจากการหลับไหลอันแสนสบายของผม 
     "...อา วันนี้วันอะไรเนี่ย?" ว่าแล้วผมก็หยิบมือถือขึ้นมาดู
     "หืมมม วันศุกร์เรอะ ...บ้าจริง" ผมสบถกับตัวเองหลังจากผมว่าวันนี้คือวันศุกร์ที่ 1 เมษายน
     ทำไมผมถึงเกลียดวันนี้นะเหรอ เพราะวันนี้มันเป็นวันที่คนโง่แบบผมต้องโดนปั่นหัวไปตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่สามารถทำได้แม่แต่[โกรธ]เลยไง ผมมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับวันนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะผมเป็นคนที่เชื่อคนง่าย ง่ายดายเกินไป...จนเรียกได้ว่าโง่ ปีที่แล้วผมโดนหลอกให้ไปเดินเล่นที่สยามสแควร์ตอนตี 5 คนเดียว (เพราะเพื่อนหลายๆคนส่งข้อความมาหาว่าจะทำเซอไพรซ์วันเกิดเพื่อนคนนึง) สองปีที่แล้วผมโดนหลอกให้เสียเงินเป็นค่าไอศกรีมของเพื่อนๆทั้งห้อง (เพราะเพื่อนหลายๆคนบอกว่าจะเอาเงินจำนวนนั้นไปทำโครงงาน) และอีกมากมาย
     "เฮ้อ~~~~~~~" ผมถอนหายใจยาวๆให้กับความโง่ของตัวเอง
     ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าปีนี้ผมจะไม่โดนใครหลอกอีกเด็ดขาด! แล้วผมก็เดินลงไปเปิดตู้เย็นดู ว่ามีอะไรพอจะเป็นอาหารเช้าได้มั่ง และสิ่งที่พบมีดังนี้
     - นมหมดอายุ
     - ต้นหอมเหี่ยวๆ
     - เนื้ออะไรซักอย่างที่น่าจะเคยโดนหมักไว้
     - มันฝรั่งอบกรอบเหลือๆ (ซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไป ว่ามาอยู่ในตู้เย็นได้ยังไง)
     "....." ความเงียบเข้าปลกคลุมห้องครัว ผมไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมของในตู้เย็นถึงเป็นแบบนี้ หรืออาจเพราะว่าผมกินข้าวนอกบ้านมาตลอด 2 อาทิตย์แล้ว จึงไม่ได้ดูของในตู้เย็นเลย
     "แบบนี้ต่อให้รายการเชฟ*มี ก็ไม่ไหวละมั้ง" ผมพูดกับตัวเอง แล้วจึงเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

11:30 น.
 
     "ทั้งๆที่กะว่าจะไม่ออกจากบ้านแล้วนะเนี่ย" ผมบ่นเบาๆ เพราะถ้าไม่ออกจากบ้าน ก็ไม่โดนใครหลอก
     "สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีโปรโมชั่นพิเศ..." คุณพนักงานหน้าเคาน์เตอร์พูดเสนอโปรโมชั่นไปเรื่อยๆ โดยที่ผมไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย 
     ผมเลือกของแล้วจึงเดินไปจ่ายเงิน แต่ข้างหน้าผมก็มีผู้หญิงคนหนึ่งทำท่าทางแปลกๆ
     "อ๋า... อ๋า!!! หายไปแล้ว!!?" เธอร้องเสียงดัง
     "เอ่อ มีอะไรเหรอครับ" ผมเข้าไปถามเธอ
     "ก็... กระเป๋าสตางค์ของฉันหายไปแล้วนะค่ะ" เธอตอบเสียงอ่อย
     "เอ่อ ถ้าอย่างนั้น ผมให้..." อึ่ก! แย่ละ ผมเกือบลืมไปเลยว่านี่คือวันอะไร เธออาจจะโกหกก็ได้นี่ แต่ว่าเธอจะกล้าโกหกแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักเชียวเหรอ แต่สมัยนี้คนเราเชื่อใจกันได้ที่ไหนละ แต่ว่าเธอก็ท่าทางเดือดร้อนจริงๆนี่นา อร๋าาาาาาา ความคิดมากมายถาโถมเข้ามา
     "อ่า อะไรเหรอค่ะ?" เธอถาม แล้วส่งยิ้มให้กับผม
     "เอ่อ......"

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

12:18 น.

     "ขอบคุณนะค่ะ ที่ให้ฉันยืมเงินคุณก่อน" เธอพูดขอบคุณผมเป็นครั้งที่ 3 แล้วหลังจากออกจากร้านขายของมา
     "ไม่เป็นไรหรอกครับ แฮะๆๆ" ผมยิ้มกร่อยๆให้ เธอบอกว่าจะคืนเงินให้เมื่อเธอถึงบ้านแล้ว
     "แต่ว่าคนแบบคุณนี่หายากนะค่ะ สมัยนี้แล้ว หาคนใจดีแบบคุณยากจริงๆ" เธอพูด
     "ไม่ขนาดหรอกครับ" ผมตอบอย่างเขินอาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินคู่กับผู้หญิงแบบนี้ พอดูดีๆแล้วเธอน่าจะเป็นพี่สาวผมประมาณ 2-3 ปี แต่เธอก็เรียกผมว่าคุณอย่างมีมารยาท
     "อ่ะ ถึงแล้วละคะ" พวกเราหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง
     "เดี๋ยวฉันไปเอาเงินให้นะค่ะ รอซักครู่ค่ะ" เธอพูดกับผม
     "ครับ ไม่ต้องรีบนะครับ" ผมตอบกลับอย่างระวังคำพูด
     "นี่ค่ะ" เธอยื่นเงินให้ผม
     "อ่ะ ครับๆ" ผมรับเงินมา
     "ยังไงซะฉันก็ยังเชื่อว่าคุณเป็นคนดีนะค่ะ คนดีๆแบบคุณน่ะขอให้พระเจ้าคุ้มครองนะค่ะ" เธอยิ้มออกมาอย่างสดใส
     "ขอบคุณครับ ถ้าโชคดีคงได้เจอกันอีกนะครับ" ผมพูดตัดบท เพื่อจะได้รีบกลับบ้านซะที
     "ลาก่อนค่ะ" เธอยิ้มตอบผม "อย่าลืมนะค่ะ การเชื่อใจกัน เป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์นะค่ะ"

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

14:37 น.

     ครืด... ครืด... ครืด...   มือถือผมสั่นอยู่บนโต๊ะ ผมจึงหยิบขึ้นมารับ
     "ช่วยฉันด้วยนะเว้ย!" เสียงเพื่อนผมตะโกนดังออกมาจากโทรศัพท์
     "เฮ้ย ใจเย็นๆก่อน มีอะไรเนี่ย" ผมพยายามพูดให้มันใจเย็น
     "น้องสาวฉันหายตัวไปนะสิ"
     "ห๊ะ!!? น้องสาวหายไป ได้ยังไงวะ"
     "ไม่รู้เหมือนกัน นายมาช่วยฉันหาหน่อยนะ"
     "ได้ๆ จะรีบไปนะ"

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 


15:14 น.


     ผมมาถึงที่ๆเพื่อนนัดไว้ มันเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนผมบอกว่าน้องมันเล่นที่นี่อยู่ ตอนที่เห็นครั้งสุดท้าย ผมไม่เห็นวี่แววของใครเลย จึงรีบโทรตามเพื่อน
     "ถึงไหนแล้ว ฉันถึงแล้วนะ" ผมถาม
     "......."
     "ได้ยินมั้ย ถึงไหนแล้ว"
     "ขอโทษ... ฉัน...ขอโทษ..." เสียงแผ่วๆตอบกลับมา
     "อะไรน่ะ" ผมถามด้วยความสงสัย
     "ปี๊บๆๆๆๆ" สายถูกตัดไป


     "มาแล้วหรอวะ ไอ้หนู" เสียงที่ฟังแล้วน่ารำคาญเหมือนพวกนักเลงในหนังเก่าๆดังขึ้น
     "อ๋อ แกนะเอง" เจ้าของเสียงนั้นคือรุ่นพี่ที่โรงเรียนผมนั่นเอง ผมมีเรื่องกับมันเมื่อตอนต้นเทอม แล้วมันก็ถูกพักการเรียนไป
     "ยังคงจำได้ใช่มั้ย ว่าทำอะไรไว้นะ ห๊า!!!" มันตะคอกใส่ผม
     "เออ ต่อยแค่ทีเดียวแกก็หงายแล้ว ไม่ต้องจำมากหรอกน่า" ผมตอบกลับไป ผมเองก็พอมีฝีมือในการชกต่อยพอตัว กับอันธพาลที่ดีแต่ปากแบบนี้ ผมคงไม่ลำบากมากนัก
     "หึ้ยยย พูดได้พูดไปเถอะวะ วันนี้ฉันเอาพวกมาด้วยหรอก" มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับรุ่นพี่เดินมาจากมุมตึกประมาณ 4-5 คน ทุกคนมีไม้ในมือพร้อม
     "อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้เนี่ย" ผมชักสงสัยว่า ตกลงผมเป็นคนโง่มาก หรือคนซวยมากกันแน่ ถึงได้เจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ได้
     "ฮ่าๆๆๆ มันบอกว่ายังเอิญวะเฮ้ย" หนึ่งในพวกนั้นขำลั่นออกมา
     "เออวะ ฮ่าๆๆๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเพื่อนมันนัดมันมาให้ ก็คงไม่เจอหรอก" คู่อริผมเสริม
     "..... งี้นี่เอง...สินะ" ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ...หึหึ ปีนี้เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ? ผมถามตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมกัน ทำไมผมถึงเชื่อเพื่อน ทั้งๆที่ผมไม่เคยเห็นน้องสาวมันเลยซักครั้ง
     "เฮ้ยๆ มันร้องไห้วะ สงสัยกลัวจนบ่อน้ำตาแตกแล้วมั้ง ฮ่าๆๆๆ" คู่อริผมหัวเราะเยาะเสียงดัง
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมกัน แต่ตอนนี้น้ำตามันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองของผม ทำให้มองภาพข้างหน้าไม่ชัด ทำให้ไม่มีแรงกำหมัด ไม่มีแรงแม้แต่จะยืนให้มั่นคง ขาผมอ่อนแรง ทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น
     [คนดีๆแบบคุณน่ะขอให้พระเจ้าคุ้มครองนะค่ะ] ขอโทษนะครับ แต่พระเจ้าคงไม่ได้ยินที่คุณขอแน่ๆเลย ผมนึกถึงคำพูดของเธอคนนั้นที่ผมเจอเมื่อตอนกลางวัน ใช่แล้ว...พระเจ้าน่ะ ไม่ได้คุ้มครองผมหรอก เพราะว่า...ผมไม่เชื่อในพระเจ้าแต่ไหนแต่ไรแล้วไงละ นี่คือการลงโทษที่ผมไม่เชื่อในท่านสินะ นี่คือชีวิตของคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าสินะ
     พลั่ก! บึ้ก! ผัวะ!   เสียงทุบตีดังอย่างไม่หยุดยั้ง ผมนับจนเลิกนับไปแล้วว่าผมโดนอัดไปกี่ครั้งแล้ว รู้แค่ว่าตัวผมชาไปหมด มองไปรอบตัวมีแต่เลือดเต็มไปหมด เลือดใครละ เลือดผมสินะ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


20:37 น.


     "อึก... อา... นี่ ที่ไหน" ผมถามผู้หญิงในชุดขาวข้างหน้าผม
     "โรงพยาบาลนะ" ที่แท้เธอคือพยาบาลนะเอง คงมีคนมาเจอผมสินะ
     "รอเดี๋ยวนะ มีคนมารอพบเธอละ" คุณพยาบาลบอก
     "เข้ามาได้แล้วจ๊ะ" เธอพูดกับคนที่อยู่ข้างนอก
     "เอ่อ... เป็นไงมั่ง เจ็บมากมั้ย" คนที่พูดคือไอ้คนที่ทำให้ผมต้องอยู่ในสภาพนี้
     "แก!!! ยังมีหน้าโผล่มาอีกหรอวะ!!!" ผมตะคอกเสียงดัง ทำเอามันตกใจจนแทบร้องไห้
     "ฉันขอโทษ... พวกมันขู่ว่าถ้าฉันไม่ทำแบบนั้น มันจะทำร้ายฉัน" เพื่อนผมสารภาพน้ำตาเล็ด
     "แล้วไงวะ เลยขายเพื่อนงั้นเรอะไง ไอ้เวรเอ๊ย!"
     "ฮึกๆ... มัน.. พวกมันบอกว่า... มันจะทำร้ายน้องฉันด้วย... ฉันยอมไม่ได้.. ขอโทษนะ" เพื่อนผมพูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง
     "...เอาเถอะ ฉันมันโง่เอง" ผมพูดออกไป พลางนึกถึงสิ่งที่เธอคนนั้นพูดเอาไว้ว่าให้เชื่อใจกัน
     "คือว่า... ฉันถ่ายรูปเอาไว้นะ พวกมันนะ" เพื่อนผมยกกล้องขึ้นมาให้ผมดู
     "ห๊ะ!!! ว่าไงนะ"
     "คือว่า ฉันเป็นห่วงนายนะ เลยตามไปดู แล้วก็เลยถ่ายรูปตอนพวกมันอัดนายไว้"
     "หึหึหึ... ไม่รอดแน่ ไอ้คุณรุ่นพี่เอ๋ย" ผมแสยะยิ้มพลางหัวเราะหึหึ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


4/4/2554


     "อ้าว ตายจริง เจอกันอีกแล้วน่ะคะ" เธอพูดทักผมขึ้นมา
     "อ้าว คุณนะเอง โชคดีจังนะครับ" ผมตอบกลับไป
     "แล้วได้แผลมายังไงค่ะนะ?" เธอพูดพลางชี้ไปที่แผลบนใบหน้าผม
     "ฮ่ะๆๆ นิดหน่อยนะครับ"
     "งั้นหรอคะ ฉันเองก็แย่เหมือนกันนะคะ โดนคนโทรมาแกล้งตั้ง 5 ครั้งแน่ะคะ แย่จริงๆ"
     "งั้นหรอครับ แย่จริงๆเลยนะครับ"
     "ว่าแต่คุณเถอะ ได้แผลมาแบบนี้ สงสัยที่ฉันบอกให้พระเจ้าคุ้มครองคงไม่ได้ผลสินะค่ะ"
     ".... เปล่าหรอกครับ ถึงจะไม่มีพระเจ้า แต่ผมก็ยังคงเชื่อใจในมนุษย์อยู่ดี" ผมตอบกลับไป


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ส่งท้ายก่อนนอน

     เรื่อง TRUST นี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากวัน April Fool's ที่ผ่านมา ซึ่งผมเองก็โดนไปหลายดอกเหมือนกันนะครับ(ฮา) เรื่องความเชื่อใจเนี่ย แต่ละคนคงมีไม่เท่ากันสินะครับ อย่างผมเองก็เป็นคนเชื่อคนง่ายซะด้วยสิ(เลยอิ่มหญ้าเลย) 
     ในเรื่องนี้ผมไม่ได้ใส่ชื่อหรือรายละเอียดของตัวละครไว้เลย เพราะเป็นงานสั้นๆ ที่ไม่อยากให้ทุกคนจดจ่อมากเกินไป เพราะเขียนขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนทีความเชื่อใจในกันและกันมากขึ้น(ไม่ใช่เพราะคิดไอเดีย G-Slay ไม่ออกหรอกนะครับ!) อย่างตัวเอกของเรา ที่โดนหลอกมามากมายหลายปี กลับให้อภัยเพื่อนที่ทำความผิดร้ายแรง เพียงเพราะคำพูดของผู้หญิงที่เจอโดยบังเอิญ ซึ่งผมคิดว่าคงจะแทบไม่มีคนแบบนี้ในโลกจริงแน่ๆ หรือจะเพื่อนตัวเอก ที่ทำผิดแล้วกล้ารับผิด แถมยังเป็นห่วงเพื่อนที่ตัวเองทำร้ายอีก จะว่ากลับใจหรือยังไงดีละเนี่ย และตัวละครสำคัญที่ทำให้ตัวเอกของเราตัดสินใจเชื่อใจเพื่อนอีกครั้ง หญิงสาวปริศนา ที่เป็นคนคิดแง่บวก และทำให้ตัวเอกของเราคิดที่จะเชื่อใจเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง
     สุดท้ายนี้อยากจะฝากไว้ว่า"มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ เพราะพวกเราไม่สามารถอยู่โดยปราศจากพวกพ้องได้" เพราะฉะนั้น "การเชื่อใจ" ในพวกพ้องของเรา ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้พวกเราอยู่ได้อย่างมีความสุขนะครับ

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

Gods Slayer : เกมฆ่า ล่าล้างเทพ [ บทที่ 2 ]

บทที่ 2 : Gods Slayer

     [พระเจ้า] ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าแล้วที่อยู่คงเป็นวิหารสง่างามท่ามกลางหมู่เมฆ หรือไม่ก็เป็นสถานที่ที่ขาดไม่ถึง ...แต่นี่มัน ...นี่มัน
     "นี่มันอะไรวะเนี่ยยยยยย" ผมร้องออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
     "หืมมม? อะไรของนายนะ ก็บ้านของพระเจ้าไงละ" กรกฎตอบอย่างเฉยเมย
     "ไม่ใช่เฟร้ย! นี่เนี่ยนะบ้านพระเจ้า? ม่ายช่ายอ่า~~~~~"  ใช่ครับ ผมพูดว่า'บ้าน'จริงๆ พวกคุณไม่ได้อ่านจนตาลาย หรือเจ้าของบล็อกพิมพ์ผิดหรอกนะ
     "อย่าว่าแต่บ้านเลย! นี่มันกระท่อมแล้วนะ กระท่อมชายทะเลชัดๆ" บ้านของพระเจ้าที่กรกฎพูดถึงคือ 'กระท่อมเก่าๆ โทรมๆ ชายทะเล' ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าอย่างพระเจ้าจะมาอยู่แบบนี้
     "อะไรกันน่ะ ท่าทาแบบนั้น ไม่เชื่อหรือไง" กรกฎทำหน้าสงสัย
     "จะว่าไปก็เถอะ ทำไมที่นี่ท้องฟ้ามีสีปกติละ แล้วเราออกมาจาก Negative Space ได้ยังไง"
     "ที่นี่คือ[โลก] บอกแล้วไงละ ส่วนไอ้ Negative Space ที่นายเรียกนะ พวกเราเรียกมันว่า 'Field' เป็นที่ๆเทพจะปรากฏตัว เมื่อกี้วอลเฟนตายแล้วใช่มั้ยละ ฟีลด์เลยหายไปไง" กรกฎอธิบาย
     "โอเคๆ แล้วโลกนี้นะ มันเกี่ยวอะไรกับโลกของเรามั้ย"
     "ตอบตามตรงว่า นิดหน่อย ไม่งั้นพวกเราไม่มีทางได้รับคำเชิญให้มาเล่นเกมนี้หรอก แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวพันกันมากหรอก แค่บางทีมิติก็เชื่อมโยงกันนะ"
     "คำเชิญ ...งั้นเหรอ" ผมคิดในใจว่าใครจะเป็นคนส่งหมาป่าตัวใหญ่มาเชิญผมเล่นเกมกัน
     "เอาละ เข้าไปกันเถอะ จักรก็น่าจะรอนานแล้ว"
     "จักร? หมอนั่นด้วยเหรอ?"
     "อา ใช่แล้วละ หมอนั่นเป็นคนแรกเลยนะที่ชนะเทพได้นะ"
     ว่าแล้วผมก็เปิดประตูกระท่อมเล็กๆนั่นเข้าไป แล้วสิ่งที่ผมได้พบก็คือจักร ซึ่งกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับใครบางคน
     ใครบางคนซึ่ง .....ตัวสูงไม่เกิน 150 อย่างแน่นอน แถมยังเป็นเด็กผู้หญิงซะอีก ผมสีเงินของเธอยาวจนแทบจะติดพื้น หน้าตาน่ารักสดใส ดวงตากลมโตสีฟ้าส่องประกายกำลังจ้องไปที่กระดานหมากรุกอย่างใจจดใจจ่อ เธอแต่งตัวด้วยชุดเดรสสีขาว และผ้าคลุมไหล่สีเหลืองสวยงาม ผมซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยจึงต้องเอ่ยปากออกไป
     "เอ่อ ไหนพระเจ้าหรอ"
     "เราไง" เด็กผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้วหันมายิ้มให้ผม
     "เอ๋ คนไหนนะ" ผมถามด้วยความสงสัย ทำเป็นไม่สนใจเสียงเมื่อกี้
     "เราไงๆ เราเอง" เด็กผู้หญิงคนนั้นโบกไม้โบกมือให้ผม
     "........"
     "........ สวัสดี เราพระเจ้า นายคือกันย์ใช่มั้ย"
     "Oh My God! มันจะผิดอิมเมจของพระเจ้าเกินไปมั้ยเนี่ย โอ้ววววววว" ผมตะโกนเอาความในใจออกมาหมด
     "เดี๋ยวเถอะ! เห็นอย่างนี้เราอายุมากกว่าเจ้าหลายรอบเชียวนะ!" พระเจ้าทำหน้าโมโหแล้วยืนกอดอด
     "แล้วมันมีอะไรมาพิสูจน์มั้ยละ ว่าเธอนะคือพระเจ้าจริงๆ"
     "ก็ได้ ดูให้ดีแล้วกัน" เธอพูดแล้วหลับตา
     ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!    พวกเราทั้งหมดมายืนอยู่ที่แห่งหนึ่งที่ไม่ใช่กระท่อมเก่าๆเมื่อกี้แน่นอน
     "ที่นี่มัน .....ที่ไหน" รอบตัวผมเรียงรายไปด้วยแท่งผลึกมากมายที่ลอยเหนือพื้นดิน
     "ที่นี่คือ ไชรน์ฟอนเมียร์ [Schrein von mir] วิหารแห่งข้าไงละ"
     "พระเจ้าค่ะ อธิบายเถอะค่ะ เรื่องเกมนี้นะ" กรกฎเร่งรัด
     "ยังใจร้อนเหมือนเคยนะ 'กำปั้นแห่งการทำลายล้าง' Faust der Zerstörung"
     "ที่ยัยเด็กนั่นพูดมะกี้ ภาษาอะไรนะ" ผมกระซิบกับจักรที่ยืนอยู่ข้าง
     "เยอรมัน ก่อนที่เธอจะมาครองตำแหน่งนี้ เธอเคยเป็นคนเยอรมันมาก่อนนะ" จักรตอบเบาๆ
     "งั้นก็แปลว่าเธอเคยเป็นผู้เล่นแบบเรางั้นเรอะ"
     "ใช่สิจ๊ะ พ่อ'คมดาบแห่งกษัตริย์' Klinge des Königs" พระเจ้าตอบพร้อมกับยิงภาษายากๆมาอีกแล้ว
     "เอ๋~~~ ไม่ยากหรอกนะ ถ้าตั้งใจละก็ ไม่กี่วันก็พูดได้แล้วจ๊ะ"
     'เฮ้ยยย อ่านใจเรอะ!!?' ผมคิดในใจ
     "แน่นอนจ๊ะ ก็บอกแล้วไงเราคือพระเจ้าจริงๆนะ"
     "พระเจ้าค่ะ เริ่มอธิบายได้แล้วค่ะ!!!" กรกฎทำเสียงดุ
     "จ๊ะๆ งั้นเราคงต้องเริ่มตั้งแต่นิยามของ Slayer แล้วสินะ"


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


     นานมาแล้ว ตั้งแต่ที่โลกแท้ หรือคือ'โลกที่เจ้าอาศัยอยู่'เกิดขึ้นมา 'โลกเทียม'แห่งนี้ก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ถึงจะเรียกว่าโลกเทียม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นของปลอม แค่เป็นสิ่งที่ลอกแบบจากโลกแท้มาเท่านั้น หากแต่ว่าโลกเทียมแห่งนี้ยังขาดหลายๆสิ่งที่โลกแท้มี โลกแท้มีความหวัง แต่โลกเทียมนั้นไม่มี, โลกแท้มีความเชื่อ แต่โลกเทียมนั้นไม่มี, เพราะโลกเทียมไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย แต่โลกเทียมเองก็มีกฏของการคัดสรรค์โดยธรรมชาติเหมือนกัน ในโลกแท้ มนุษย์ถูกเลือกให้เป็นผู้มีวิวัฒนาการ แต่ในเมื่อโลกเทียมไม่มีมนุษย์อยู่ สิ่งที่ถูกเลือกก็คือสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น 'วอลเฟน' คือหมาป่าที่ถูกเลือกให้กลายเป็นสิ่งที่เหนือกว่าหมาป่าทั่วไป พวกเราจะเรียกสิ่งนั้นว่า[เทพ]
     เทพ มีความสามารถที่จะดึงเอาพลังต่างๆในฟีลด์ของตัวเองมาใช้ได้อย่างอิสระ เทพที่ถูกเลือกโดยโลกเทียมจึงได้ทำการปกครองโลกเทียมไว้เป็นส่วนๆไป แต่ถึงจะเรียกว่าการคัดสรรค์โดยธรรมชาติ แต่ธรรมชาติของที่นี่ก็ถูกควบคุมโดย[พระเจ้า]อีกทีเหมือนกัน พระเจ้าคนแรกนั้นมีความต้องการให้โลกเทียมมีพลังเท่าโลกแท้ จึงได้พยายามเชื่อโลกทั้งสองผ่านช่องทางที่ง่ายที่สุด คือ'จิตใจ' ซึ่งเวลาที่จิตใจจะพร้อมที่สุดในการเชื่อมต่อก็คือเวลาที่หลับไป จนเริ่มมีมนุษย์เข้ามาที่โลกเทียมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเทพไม่พอใจในพระเจ้า และคิดจะล้มล้างพระเจ้าซะ พระเจ้าจึงได้ตั้งเกมขึ้นมา เรียกว่า 'Gods Slayer' โดยตั้งกฏการเล่นไว้ว่า
     1.อาวุธจะมาจากจิตใจของผู้เล่นเอง

     2.ให้สังหารเทพที่คิดตั้งตนเป็นกบฏ
     3.ผู้ที่อยู่เป็นคนสุดท้าย จะได้รับสิทธิในการเป็นพระเจ้าคนต่อไป หรือ ขอพรได้ 1 อย่าง

     ในครั้งนั้นผู้ชนะคือหญิงสาวรูปงามนามว่า [มาริน เรเกน] ผู้ถือครองดาบแห่งสายฝน และได้รับตำแหน่งพระเจ้าคนต่อมา แต่ว่าเทพนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยืนอยู่บนหลักความจริงอยู่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนานๆเข้า เทพเองก็ฟื้นคืนพลังกลับมา เพราะฉะนั้น พระเจ้าคนปัจจุบันจึงต้องเริ่มเกม Gods Slayer อีกครั้งไงละจ๊ะ....

     "มันก็เท่านี้แหละนะ ความเป็นมาของ Slayer น่ะ" พระเจ้าพูด
     "เดี๋ยวนะ สาวงาม มาริน คนนั้น คือเธอเหรอ" ผมถามพระเจ้า
     "ใช่แล้วล่ะจ้า เราคือมาริน เรเกน คนนั้นไง" พระเจ้าทำท่าแอ๊บเด็ก
     "เฮ้ยๆ นี่มันตั้งกี่ร้อยปีแล้วนะ อย่ามาทำท่าแอ๊บเด็กนะ" ผมพูดพลางโบกมือไปมา
     "....... ไอ้เด็กบ้านี่ ......." พระเจ้าพูดเสียงเบา และแล้วก็ 'เปรี้ยง!!!' ฟ้าผ่าลงมาข้างหน้าผมพอดี ผมยืนนิ่งได้แต่มองรูจากฟ้าผ่าเมื่อกี้
     "เอ่อ คือๆ คือว่านะ ....." ผมค่อยๆเดินถอยหลัง แล้วสะดุดขาตัวเองลงไปนั่งกับพื้น
     "มีอะไรจะพูดอีกห๊า! ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย!" พระเจ้าค่อยๆเดินลากมาอย่างน่าสยอง ผมรู้สึกว่ามองเห็นออร่าความอาฆาตหลั่งไหลออกมาจากรอบตัวของเธอ
     "ขอโทษคร้าบบบ ผมจะไม่พูดอีกแล้ว ขอโทษครับ!" ผมยกมือบังหน้าตัวเอง
     "...หุหุหุ ....ฮิฮิ" พระเจ้าหัวเราะเบาๆ พยายามกลั้นความรู้สึกไว้
     "ฮ่ะๆๆๆ หน้านายเหวอสุดๆเลยวะ" จักรหัวเราะท้องแข็ง
     "ฮิฮิ ขอโทษนะจ๊ะ ท่าทางเราจะแกล้งเธอหนักไปหน่อยแล้วมั้ง" พระเจ้ายิ้มแป้นจนทำเอาตาสีฟ้าคู่สวยหรี่ลงแทบไม่เห็นนัยน์ตา
     "อึ๊ก... ยัยป้านี่ หาเรื่องเรอะไงห๊า!" ผมพูดเสียงดัง
     พระเจ้าค่อยๆเดินเข้ามา แล้วกระชากคอเสื้อผมลงไปให้หูผมพอดีกับปากเธอ
     "พูดว่าป้าอีกทีสิ แกได้ตายก่อนเจอเทพองค์ต่อไปแน่..."
     "ครับ!!!" ผมตอบรับทันควัน ไม่กล้าต่อปากต่อคำอีกต่อไป
     "แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมพระเจ้าไม่จัดการเทพเองเลยละค่ะ พลังก็มีมากมายแล้วนี่" กรกฎถาม วันนี้เธอดูเงียบๆชอบกล ไม่เหมือนปกติเลย
     "ง่ายๆเลยนะ เรา-เบื่อ-น่ะ-สิ-จ๊ะ" พระเจ้าตอบอย่างสนุกสนาน
     "ถ้าเราใช้พลังละก็นะ จะทำให้โลกนี้หายไปเลยก็ได้ แต่เพราะมันไม่สนุกนะสิ เราเลยไม่ทำ"
     "ความ...สนุกเรอะ" ผมพูดอะไรไม่ออก
     "นี่กรกฎ จะถึงเวลาแล้วนะ" จักรพูดกับกรกฎ
     "อ๊ะ! ลืมไปเลยแหะ" กรกฎทำหน้าตกใจ
     "เวลาอะไรเหรอ" ผมถามด้วยความอยากรู้
     "จักรสามารถรับรู้เวลาที่เราจะกลับไปโลกแท้ได้นะ ตอนนี้ก็ใกล้แล้วด้วย" กรกฎตอบ
     "งั้นพรุ่งนี้เราจะส่งภารกิจไปให้นะ" พระเจ้าหันมาบอกพวกผม
     "ภารกิจอะไรเหรอครับ" ผมถามกลับ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ
     
     พลั่กๆๆ ตุ้บ...
     "ให้ตายเถอะ จะกลับมาในสภาพดีๆไม่ได้เหรอไงเนี่ย" ผมพูดกับตัวเอง
     ครืดดด ครืดดด   มือถือผมสั่น คงเป็นข้อความละมั้ง ใครส่งมาละเนี่ย
     'ภารกิจที่ 1 : รวมตัวกับ Slayer คนอื่นๆให้ได้ 5 คน จำกัดเวลา 8 ชั่วโมง'


Next Chapter : Team & Theme

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

Gods Slayer : เกมฆ่า ล่าล้างเทพ [ บทที่ 1 ]

บทที่ 1 : The Boring Day / Say Yes / Say No

     หลังจากอาบน้ำและกินข้าวแล้ว ผมก็มานั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งผมไม่มีเรียนพิเศษอะไร ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวัยรุ่นที่อาจจะโชคดีคนนึงละน่ะ ที่ไม่ต้องไปเรียนพิเศษในวันหยุดแบบนี้ อ้อ ลืมบอกไป ผมชื่อกันย์ครับ [กันย์ สันตวัชระ] นักเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯนี่แหละครับ นอกจากฝันพิลึกๆที่ผมฝันทุกวันแล้ว ผมก็ไม่ได้ต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วๆไปหรอกนะครับ
     "สรุปแล้ว ไอ้หมาป่านั่นมันอะไรของมันเนี่ย จะมาหาเรื่องแดร๊กเราตั้ง 28 ครั้งแล้ว เพิ่งจะมาบอกชื่อแซ่เอาวันนี้เนี่ยนะ มันชื่ออะไรหว่า วอลฟกัง? วอลฟี?"
     "บ่นอะไรอยู่คะ พี่กันย์"
     "ว่ะ! อย่ามาแบบเงียบๆงี้ซิมีน หัวใจจะวายตาย" ผมพูดกับน้องสาวตัวดีของผม มีน [มินตรา สันตวัชระ]
     "แหม พูดยังกับคนแก่เลยนะค่ะ ก็พี่น่ะแหละ พูดอะไรอยู่คนเดียวละ หรือว่า..."
อะไรน่ะ ยัยนี่ รู้เรื่องความฝันของเราด้วยเรอะเนี่ย!?
     "ฝันเรื่องลามกใช่ม้า แหมๆๆ พี่ชายเราเนี่ยโตเป็นหนุ่มแล้วซิน้า"
     "เฮ้ย! จะบ้าเรอะไง ใครมันจะไปฝันบ้าๆแบบนั้นเล่า"

ทันใดนั้นเอง โทรสับมือถือของผมก็ดังขึ้น
     "ฮัลโหลๆ นี่ฉันเองนะ กรกฎเอง วันนี้ว่างใช่มั้ย "
     "หา? อย่าสรุปเองสิว่าใครว่างใครไม่ว่างนะ" 
     "แต่นายก็ว่างใช่มั้ยละ ออกมาเจอฉันหน่อยสิ "
     "อะไรเนี่ย ชวนเดทเรอะ?"
     "ไอ้บ้า! เหตุด่วนย่ะ เหตุ-ด่วน  อีกสามสิบนาทีเจอกันที่บ้านไอ้จักรนะ "
     "คร้าบๆ เจ้าแม่"
     "เรียกใครว่าเจ้าแ... " ผมรีบตัดสายก่อนที่จะโดนด่ามากไปกว่านี้
     "มีน เดี๋ยวพี่ออกไปข้างนอกหน่อยน่ะ ฝากบ้านด้วยละ"
     "ค่า~~~~" น้องสาวผมตอบเสียงใส ส่วนผมต้องรีบวิ่งออกจากบ้านไปเพราะขืนไปช้าโดนเจ้าแม่ด่ายับแหงๆ
     "ว่าแต่ พี่เราจะไปไหนกันนะ? ช่างเถอะ ไปเล่นเกมต่อดีกว่า"

     30 นาทีต่อมาผมก็มาอยู่หน้าห้องหมายเลข 593 ในคอนโดหรูกลางสุขุมวิท ใช่ครับ บ้านไอ้จักรมันอยู่ในทำเลที่ดีสุดๆครับ ติดรถไฟฟ้า และแน่นอนแพงสุดๆด้วย จักรคือเพื่อนของผมและกรกฎ ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว
     ผมเปิดประตูเข้าไปและ ผลั่ก~~~~!!! ผมล้มลงกระแทกพื้นพรมอย่างจังเพราะแรงกระแทกตรงเอว เมื่อผมหันไปดูก็พบว่ามี [เท้า] และเจ้าของของเท้านั้นก็อยู่ตรงนั้นด้วย
     "ช้ามากย่ะ สายไปสี่นาที สามสิบเจ็ดวินาที"
     "โอ้ยยย เล่นอะไรเนี่ย" เจ้าของเท้านั้นคือ กรกฎ [กรกฎ วสันตฤดู]  เพื่อนสาวอายุ 16 ของผมเอง
     "ฮ่ะๆๆ อยากมาช้าเองนี่นา ไม่ไหวเลยนะนายนี่" จักร [จักรา มหารัตน์] พูดพลางหัวเราะเสียงดัง
     "ก็แกเป็นเจ้าของบ้านนี่หว่า ไม่ต้องรีบแบบฉันนี่ ว่าแต่ มีอะไรเรอะ ที่ว่า เหตุ-ด่วน น่ะ" ผมพูดพร้อมทำท่าประกอบคำว่า [เหตุด่วน]
     "อื้มๆ นายได้ดูข่าวบ้างรึปล่าวละ ที่ว่ามีนักเรียนหายตัวไปน่ะ" กรกฎตอบพร้อมทำท่ากอดอก
     "หืมม ก็ได้ยินอยู่นะ แล้วมันมีอะไรละ มันก็แค่คนหายไม่ใช่เรอะไง"
     "เฮ้อ ให้ตายเถอะ คิดได้สมกับเป็น [เจ้าชายธรรมดา] เลยน่ะ"
     "ม...หมายความว่าไงนะ พูดแบบนี้น่ะ" [เจ้าชายธรรมดา]คือฉายาที่พวกนี้เรียกผม เพราะว่าผมเป็นคนที่ชอบเรื่องปกติธรรมดามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องหวือหวานะ ผมไม่อยากยุ่งหรอกนะ
     "นายรู้รึปล่าวว่าทุกๆคนที่หายตัวไปนะ บอกกับพ่อแม่ตัวเองว่าตัวเองฝันแปลกๆนะ"
     "ฝัน...แปลกๆ" ฝันแบบไหนกันนะ หรือว่า...
     "ใช่ๆ เห็นฉลามยักษ์บ้างละ ปูยักษ์บ้างละ" จักรอธิบายเพิ่มเติม
     "สัตว์...ยักษ์ งั้นหรอ.....หรือว่า ไม่จริงน่า!" ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากจะเป็นลมขึ้นมาเลย ใครก็ได้ กรกฎหรือจักรก็ได้ ตัดบททีเถอะว่านี่มันเป็นเรื่องอำเล่น ไม่ได้มีอะไรจริงจังน่ะ
     "เฮ้ๆๆ กันย์ นายเป็นอะไรมากปล่าวเนี่ย หน้าซีดเชียว ไม่สบายหรอไง" กรกฎถามอย่างตื่นตระหนก
     "ฉันมียานะ เอามั้ย" จักรพูด
     "ไม่เป็นไรๆ นี่พวกนายจะเชื่อมั้ย ถ้าฉันจะบอกว่า...ฉันฝันเห็นหมาป่ายักษ์น่ะ"
     "..... หึหึหึ ฮะฮ่ะ ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆ พูดบ้าไรวะเนี่ย"
     "เฮ้ยๆ กันย์ เก็บข่าวมาฝันเลยหรอเนี่ย ฮะๆๆๆ" จักรและกรกฎพากันหัวเราะเยาะผม
     "ฉันเห็นจริงๆนะเว้ย ไม่ได้คิดมากด้วย" ผมรีบพูดยืนยันความฝันของผม
     "ก็ได้ๆ เชื่อละๆว่าแกเห็น งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนมั้ย ดึกแล้วด้วย" กรกฎพูดกับผม
     "อื้ม ก็ดี ป่านนี้มีนรอแย่แล้วละ" ผมเริ่มเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมา เพราะอดคิดไม่ได้ว่ายัยนั่นจะทำอะไรเป็นกับข้าวเย็นนี้ ยิ่งทำอาหารไม่เป็นอยู่ด้วย

     ผมออกมาจากห้องก่อนเพราะกรกฎบอกว่าขอเข้าห้องน้ำก่อน แล้วจะกลับทีหลัง สองคนนี้ชอบอยู่ด้วยกันสองต่อสองเรื่อย จนผมอดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้คบกันอยู่รึปล่าว?
     ในขณะที่ผมกำลังเดินลงจากรถไฟฟ้านั่นเอง ก็มีเสียงพูดขึ้นมาในหัวผม "โลกนี้น่ะ น่าเบื่อเกินไปใช่มั้ยละ" "อยากเปลี่ยนแปลงโลกนี้ใช่มั้ยละ" "มาสิ ไปสู่โลกใหม่ของเรากัน" ผมรีบหันกลับไปดู แต่ก็ไม่มีใครนอกจากผู้โดยสารที่ไม่มีอะไรผิดสังเกตุ 
     "หิวจนเบลอแล้วมั้ยละเรา" ผมพูดกับตัวเอง

     "นี่นายว่าหมอนั่นเห็นจริงๆรึปล่าว.....[โลกนั้น]น่ะ" กรกฎหันไปถามจักรที่ยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง
     "น่าจะใช่นะ ฉันรู้สึกได้ แล้ว[เทพ]ที่หมอนั่นเห็นน่ะ หมาป่ายักษ์ หรือว่าจะเป็น..."
     "วอลเฟน เทพหมาป่าเขี้ยวเงินแห่งเรโวร่า"
     "ลองไปถามหมอนั่นดูมั้ย [พระเจ้า]น่ะ"
     "คืนนี้ ฉันจัดการเอง"

     "กลับมาแล้วจ้า เย็นนี้มีอะไรกินเอ่ย?" ผมตะโกนถามเข้าไปในบ้าน
     "เย็นนี้มีซูชิค่า อร่อยมากเลยน้า" มีนรีบวิ่งออกมาหาผมทั้งที่ยังมีซูชิชิ้นโตอยู่ในปาก
     "โห ทำเองหรือเนี่ยเรา เก่งนี่นา"
     "หือ? พี่พูดอะไรเนี่ย หนูเนี่ยนะจะทำกับข้าว สั่งมาซิค่ะ"
     "หง่ะ! แล้วเอาเงินที่ไหนไปสั่งมาละ อย่าบอกนะว่า!!!"
     "ถูกต้องนะคร้า เงินของพี่นะแหละ ก็พี่อยากออกไปเที่ยวโดยไม่ทำกับข้าวไว้ก่อนทำไมละ"
     "นี่พี่เก็บไว้ไปดูหนังน้า โฮฮฮฮฮ มีนใจร้ายอ่ะ"
     "เชอะ อยากกินกับพี่กรกฎก็บอกมาเถอะ..."
     "หา? อะไรนะ พี่ไม่ได้ยินเลย"
     "อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะๆ .....ถ้าแม่ยังอยู่ก็คงดีสินะค่ะ"
     "ไม่เอาน่ามีน พูดแบบนี้ถ้าแม่ได้ยินเข้าละก็ โดนหักค่าขนมแหงๆ" ใช่แล้วครับ พ่อแม่พวกเราเสียชีวิตไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งก็ผ่านมาได้เกือบปีแล้ว โชคดีที่พวกท่านทำประกันฯไว้ พวกเราเลยไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่เรื่องอาหารการกินก็แย่ลงละนะครับ ถ้าผมไม่อยู่บ้าน มีนก็เอาแต่กินอาหารสำเร็จรูป ไม่ก็สั่งเข้ามาทาน
     "ค่ะ! หนูว่าหนูไปเข้าชมรมทำอาหารมั่งดีกว่ามั้ยน้า" มีนพูดพร้อมกับยิ้มตาหยีให้ผม

     หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมก็จัดการจัดกระเป๋าเตรียมไปเรียนในวันพรุ่งนี้ ผมล้มตัวลงนอนพร้อมกับคิดว่าขออย่าให้เจอไอ้หมาป่านั่นเลย วันนี้เหนื่อยมามากแล้วนะ
     "ท่าทางพระเจ้าคงเหม็นขี้หน้าผมสุดๆเลยใช่มั้ยเนี่ย" ผมพูดกับตัวเองหลังจากพบว่าตัวเองอยู่ใน Negative Space อีกแล้ว
     "ว่าไง อาหารมื้ออร่อยของข้า เจอกันอีกแล้วนะ หึหึหึ" วอลเฟนพูดแล้วแยกเขี้ยวสีเงินเงาวับออกมา
     "นี่ๆ ก่อนแกจะกินฉันน่ะ ช่วยบอกเกี่ยวกับเพื่อนๆแกหน่อยได้มั้ย พวกสัตว์ยักษ์นะ"
     "พวกข้าไม่ใช่สัตว์! พวกข้าคือเทพ เทพเจ้า!" วอลเฟนพูดแล้วพุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว
     "บ้าเอ้ย ไม่ให้ตั้งตัวเลยนะ" ผมกระโดดหลบ...แต่ทว่าขาของผมกลับถูกยึดอยู่กับพื้นด้วยน้ำแข็งแน่นหน้าจนดึงออกไม่ได้
     "อ๊ากกก" ผมแผดเสียงออกมาหลังจากพบว่ามีเลือดไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของผม
     "แน่ดีนี่ โดนผลึกน้ำแข็งนิรันดร์ของข้าแล้ว ยังเบี่ยงตัวหลบได้อีกน่ะ"
     'บ้าน่า บ้าไปแล้ว นี่มันฝันน่ะ แล้วจะมีเลือดจริงๆ เจ็บจริงๆได้ยังไง ถ้าอย่างนั้น...ถ้าเราโดนมันกินล่ะ' ความคิดมากมายไหลเข้ามาในหัวผม เพื่อหาข้อสรุปว่าตกลงแล้วสถานการณ์นี้มันคืออะไรกัน!!?
     แกร๊กกๆๆๆ น้ำแข็งเริ่มค่อยๆขยายตัวขึ้น จนตอนนี้ส่วนเดียวที่ผมยังขยับได้คือแขนขวาเท่านั้นเอง วอลเฟนเกร็งขาหลังของมัน พร้อมที่จะทะยานเข้ามาคร่าชีวิตผมได้ทุกเมื่อ
     ตู้มมม วอลเฟนทะยานเข้ามาหาผมด้วยความเร็วสูง รู้ตัวอีกทีเขี้ยวคมราวหอกแหลมก็อยู่ที่คอผมแล้ว เอาเถอะ ตายไปได้ก็ดีแล้ว โลกน่าเบื่อๆแบบนี้นะ ไม่เอาอีกแล้ว ความคิดแบบนี้อยู่เต็มหัวผม อย่างน้อยก็ตายไม่มีห่วงละนะ .....ทันใดนั้นเอง
     "นี่ๆ วันนี้ว่างใช่มั้ยล่า ไปเที่ยวกันเถอะ" ภาพของเด็กสาววัยรุ่นผมสีดำ ตาสีน้ำตาลกลมโตสวยงามปรากฏขึ้นมาในหัวผม
     "ว่าไง วันนี้ไปกินข้าวทีไหนดีว่ะ" ภาพของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผม ย้อมผมสีทอง ตาเรียวเล็ก กำลังลากผมไปโรงอาหารโผล่มาในหัว
     "พี่ค่ะ วันนี้...หนูลองทำต้มยำละ ลองชิมหน่อยนะ" ภาพของเด็กผู้หญิงอายุน้อยกว่าผม ไว้ผมทรงโพนี่เทล ยิ้มตาหยีให้ผมพร้อมกับยกถ้วยต้มยำมาให้ผมลองชิม
     'ใช่แล้ว... โลกนี้มันก็ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้นนี่นา ถ้าเราตายไป จักรกับกรกฎก็คงเหงาแย่เลยสินะ ยัยมีนก็คงไม่มีวันทำอาหารเป็น ยัยมีนก็ต้องอยู่คนเดียว' ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับภาพของคนสำคัญในหัว
     "ถ้าหิวมากขนาดนั้น ก็ไปหากินเองซีโว้ยยยยยยยยยย" ผมแผดเสียงพร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปเป็นวงกว้าง
     บรึ้มมมมม~~~~~  พลั่ก!!! วอลเฟนกระเด็นหงายหลังกลิ้งไปจากแรงปะทะของอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่อยู่ในกำมือของผมตอนนี้
     "อะไรกันน่ะ ไอ้หนู ที่อยู่ในมือแกมัน อะไรกัน"
     "อะไรน่ะหรอ" ผมก็อยากรู้เหมือนกันละนะ ที่อยู่ในมือผมมันคืออาวุธคมเดียว ใบดาบสีเงินส่องประกายยาวประมาณ 1เมตร มีกั่นสีทองเงางาม ด้ามจับพันด้วยผ้ามีแดงสด ใช่แล้ว นี่มันคือดาบญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า [คาตานะ] นั่นเอง
     "แก... หรือว่าแกเองก็เป็น Slayer งั้นรึ!" วอลเฟนทำหน้าตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผม
     "Slayer.... นักล่า.... งั้นรึ"
     วอลเฟนสังเกตุเห็นบาดแพลเนื่องจากคมดาบของผม
     "ไม่กินมันแล้ววว Slayer อย่างแก มันต้องตายยยยย!!! เรโวร่า!!!"
     ทันใดนั้นอากาศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที หิมะสีขาวค่อยๆตกลงมาจากฟ้า พื้นถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ราวกลับว่าอยู่ในแดนน้ำแข็งยังไงยังงั้น
     "เฮ้ยๆ เกินไปแล้วมั้งน่ะ ที่ว่าเป็นเทพเนี่ย ไม่ได้โม้ซินะ" ผมค่อยๆใช้ดาบแซะน้ำแข็งออกจากร่างกาย น่าแปลกที่น้ำแข็งละลายทันทีที่ดาบของผมแตะโดน ราวกับว่าดาบของผมกำลังลุกเป็นไฟอยู่
     "อย่างน้อยก็ต้องสู้สินะ" ผมกระชับดาบให้เข้ากับมือมากขึ้น
     "Slayer ตาย!!!"
     วอลเฟนกระโจนขึ้นฟ้าแล้วพุ่งลงมาทางผม แต่ผมหลบได้อย่างฉิวเฉียด ราวกับผมมองเห็นล่วงหน้าว่ามันจะพุ่งลงมาทางไหน ร่างกายผมเคลื่อนไหวไปเองตามสัญชาตญาณ วอลเฟนต้องหยุดการเคลื่อนไหวเพราะแรงกระแทก แม้มันจะเป็นเวลาแค่เสี้ยววินาที แต่สำหรับผมตอนนี้ มันพอแล้ว!
     ฟึ่บ! ผมพุ่งตัวไปอยู่ใต้ท้องของมันแล้วฟาดดาบออกไปเต็มแรง
     เปรี้ยงงง!!! คลื่นดาบสีแดงพุ่งออกไปกระแทกท้องของวอลเฟน เลือดสีแดงไหลกระฉูดออกมาราวกับฝนเลือด
     "โบร๋วววววววววว" วอลเฟนหอนเสียงแหลม
     "ถึงจะเป็นเทพ แต่ก็ยังเป็นหมาละนะ"
     "ฆ่าข้าซะ ...Slayer แล้วเจ้าจะ ....ต้องเดินตามชะตากรรม ...ที่ขีดไว้ในฐานะของ ....นักล่า"
     "ไม่" ผมหันหลังให้วอลเฟน "ฉันไม่ใช่นักล่าอะไรของแก ฉันแค่อยากมีชีวิตธรรมดา"
     "ฮ่าๆๆๆ ธรรมดางั้นเหรอ แค่เจ้าได้สิ่งนั้นมาอยู่ในมือ ชีวิตเจ้าก็ไม่มีทางหันกลับแล้ว"
     ว่าแล้ววอลเฟนก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายยกอุ้งเท้าขึ้นมา แล้วฟาดลงมาที่ผม ผมยกดาบขึ้นกัน
     ผัวะ! ตึง~~~ อุ้งเท้าวอลเฟนกระเด็นออกไป ข้างหน้าผมมีผู้หญิงยืนยกขาอยู่ ท่าทางเธอจะเป็นคนที่เตะอุ้งเท้าของวอลเฟนออกไป แต่ดูจากด้านหลังแล้วเธอดูคุ้นตาผมมากๆ
     "ไม่ไหวเลยนะนายนี่ จำไว้ว่าอย่าได้ไว้ใจเทพเด็ดขาด โดยเฉพาะร่างสัตว์ พวกมันน่ะ เจ้าเล่ห์มากนะ" เสียงของเธอก็คุ้นหูผมมากเหมือนกันแฮะ
     "โลกนี้นะ มันไม่ธรรมดาแบบนายหรอกนะจ๊ะ เจ้าชายธรรมดาจ๋า" เธอหันมาพูดกับผม
     ".....กรกฎ" ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก คนที่เตะอุ้งเท้ายักษ์ออกไปเมื่อกี้ คือเพื่อนของผมงั้นเรอะเนี่ย!!?
     "นี่มันเรื่องอะไรกันนะ กรกฎ อธิบายมาหน่อยซิ"
     "อ่า มันก็พูดลำบากนะ จะสรุปให้ฟังละกัน ที่นี่ก็คือ [โลก] เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ฝัน ที่พวเรามาได้เป็นเพราะพวกเราถูกดึงเข้ามาร่วมเกมๆนึงแล้ว ซึ่งนายมีทางเลือกว่าจะเล่นเกมนี้ต่อไหม ถ้านายอยากเล่นต่อ ฉันจะพาไปหาผู้อยู่บนจุดสูงสุดเอง [พระเจ้า]น่ะ"
     "เกม ....งั้นรึ จะพยายามทำความเข้าใจละนะ"
     "เอาน่า ตอนแรกฉันก็เป็นแบบนายแหละ"
     "ง..งั้นเหรอ แล้วถ้าฉันไม่เล่นละ"
     "นายก็ได้กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม นายเองคงอยากเป็นแบบนั้นใช่มั้ยละ"
     "โลกธรรมดาๆงั้นเหรอ เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับฉันจริงๆนะ"
     "หืมมม ถ้าอย่างนั้นก็..."
     "แต่ที่นี่คือ Negative Space ทุกอย่างย่อมตรงข้ามกันสิ" ผมพูดพร้อมจ้องตากรกฎ
     "ห๊ะ?" กรกฎทำหน้างง
     "I Say Yes, พาฉันไปหาพระเจ้าเลย"
     "ฮิฮิ บ้าจังนะ นายน่ะ ตามมาให้ดีละกัน" กรกฎพูดแล้วเริ่มเดินนำผมไป


Next Chapter : Gods Slayer

Gods Slayer : เกมฆ่า ล่าล้างเทพ [Prologue]

Prologue : I Thought It A Dream

     "อีกแล้วหรือ ท้องฟ้าสีส้มแบบนี้อีกแล้วหรือ" ผมพูดกับตัวเอง หลังจากพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แปลกประหลาด ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน แต่ที่แน่ๆ ผมมั่นใจว่าไม่ใช่โลกอันแสนน่าเบื่อใบเดิมแน่นอน ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเหมือน[โลก]ที่ผมอยู่เลยซักนิด ท้องฟ้าที่ควรจะเป็นสีฟ้า กลับกลายเป็นสีส้ม เมฆที่ควรจะเป็นสีขาว กลับกลายเป็นสีดำสนิท ตามความรู้วิชาศิลปะที่ผมได้เรียนตอนมัธยมต้น สีส้มเป็นสีตรงข้ามของสีฟ้า และ สีดำเป็นสีตรงข้ามของสีขาว ดังนั้นผมจึงเรียกที่นี่ว่า[Negative Space] ทำไมผมถึงต้องตั้งชื่อให้ไอ้สถานที่แปลกๆแบบนี้ด้วยนะหรือ ก็เพราะผมไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกนะสิ นี่เป็นครั้งที่ 20...ไม่สิ 30 แล้วเห็นจะได้ ทุกๆครั้งที่ผมหลับ หรือ หมดสติไป ผมก็จะมาโผล่ที่ Negative Space ทุกครั้ง มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ผมขึ้นมัธยมปลายแล้ว และถ้าผมไม่แก่จนความจำเลอะเลือนแล้วละก็...

     ตู้ม~~~~!!! เสียงดังสนั่นไปทั่ว ลมจากแรงปะทะพัดจนผมต้องก้มตัวลงเพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม ต้นเหตุของเสียงและลมที่เกิดขึ้นนั้น คือสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายหมาป่าสีเทา เว้นเสียแต่ว่า เขี้ยวของมันใหญ่เท่าแขนผมนะสิ!


     "เจอกันอีกแล้วนะ อาหารมื้อสำคัญของข้า" หมาป่ายักษ์พูดพร้อมกับแยกเขี้ยวสีเงิน
     "เฮ้ยๆๆ นี่ก็เราก็เจอกันตั้ง 30 ครั้งแล้วนะเฟร้ย ยังมองว่าฉันเป็นอาหารของแกอยู่อีกเรอะไงหะ?"
     "หึหึ ครั้งที่ 28 ต่างหากละอาหารของข้า และไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้ง เจ้าก็ยังเป็นมื้อสำคัญของข้าอยู่ดี"
     พูดจบไอ้หมาป่ายักษ์นั่นก็วิ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็วเหลือเชื่อ
     "นี่แกตัวขนาดนั้น แต่วิ่งได้เร็วขนาดนี้ จะโกงไปหน่อยละมั้ง ไอ้บ้าเอ้ย" ผมหลบได้แบบฉิวเฉียด แต่ก็กลิ้ังล้มเพราะเสียหลัก
     "นี่มันฝันของฉันไม่ใช่เรอะไง เพราะฉะนั้นรีบๆหายไปซะทีน่า ถึงจะเป็นในฝันฉันก็ไม่อยากตายหรอกนะ" ผมพูดไปพลางปัดฝุ่นไปพลาง
     "หึหึหึ ฝันงั้นเหรอ จะคิดอะไรง่ายเกินไปหน่อยมั้ง อาหารของข้า ถ้าหากนี่เป็นฝันจริงๆละก็ เจ้าคงไม่ฝันซ้ำซากแบบนี้หรอกนะ"
     "หา? แล้วแกจะบอกว่านี่คืออะไรล่ะ ภาพหลอน? หรือว่าฉันหลงมาโลกอื่นเรอะไง นี่ไม่ใช่อนิเมะนะโว้ย"
     "จะอะไรก็ช่างเถอะ เพราะถึงข้าพูดไป เจ้าก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี"
     "เฮ้ยๆ อย่ามาดูถูกสมองฉันนะเฟร้ย คิดว่าฉันโง่ขนาดฟังเรื่องของหมาป่าอย่างแกไม่เข้าใจเรอะไง"
     "เลิกเรียกข้าว่าหมาป่าได้แล้ว ข้าคือ[วอลเฟน ซิลเวอร์แฟงก์] เทพหมาป่าผู้ปกครองเรโวร่า ดินแดนแห่งน้ำแข็งนิรันดร"
     "โอ๊ะโอ๋ ไงละ โดนเรียกชื่อมั่วๆแล้วโมโหใช่มั้ยละ ทีนี้ก็เลิกเรียกฉันว่าอาหารของแกได้แล้ว" ว่าแต่ว่าที่มันพูดคืออะไรหว่า เรโวร่า อยู่แถวไหนเนี่ย? ผมยังไม่ทันคิดออกว่าเรโวร่ามันอยู่แถวไหน วอลเฟน ก็พุ่งเข้ามาหาผม และแล้วก็...


     วูบบบบ~~~~ ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด


     พลั่กๆๆ!!!! ผมลืมตาตื่นและพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพน่าอนาถใจสุดๆ ขาพาดอยู่บนเตียง แต่ร่างกายช่วงบนกลับลงมานอนอยู่บนพื้น
     "โอยยย ท่าทางคอจะเคล็ดนะเนี่ย กี่โมงแล้วหว่า" ผมจับคอตัวเองเบาๆแล้วหันไปมองนาฬิกา ซึ่งตอนนี้บอกเวลาสิบโมงกว่าแล้ว ผมจึงเดินไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวกินข้าว
     "สรุปแล้วไอ้เรโวร่านี่มันอยู่ส่วนไหนของโลกวะเนี่ย?" ผมครุ่นคิดขณะเดินลงไปชั้นล่าง


Next Chapter : The Boring Day / Say Yes / Say No

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

สอบเลขมหาประลัย!!!

     อัพเดทช้าไปอีกแล้วสำหรับเหตุการณ์ล่าสุดที่บอกได้คำเดียวว่า"ปวดตับ" ไม่ว่าจะข้อสอบเลขที่โหดร้ายทารุณ ถึงขนาดอึ้งกันเกือบทั้งสนามสอบ พูดได้คำเดียวว่า"อะไรวะเนี่ยยยย" คือทั้ง 50 ข้อทำได้แค่ 8-13 ข้อที่ถูก จนหมดเวลาก็ทำไม่ทัน ( T_T)\  
     ตอนนี้ก็เลยทำได้แค่เล่นของไปวันๆ ด้วยการพูดแง่บวกบ้าง(Ex. เดี๋ยววันดูผล ไม่ต้องดูหรอกนะ รายงานตัวเลย) อะไรบ้าง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทุกคนติดละนะครับ เพราะทุกคนเองก็พยายามเต็มที่แล้วนิ อ่านหนังสือ, งดเล่นคอม(สุดโหด!), บางคนนี่อดนอนกันเลยนะนี่(ทำไปได้ สอบไหวเรอะนั่น) ส่วนถ้าใครไม่ติดก็นะ โรงเรียนเก่าก็ไม่ใช่ว่าแย่นี่ เราเรียนดี มหาลัยดีๆก็ไม่ไปไหนหรอกนะ (^__^)

     หลังจากสอบเสร็จก็เลยอยากพักบ้าง เลยชวนเพื่อนไปดูหนังกัน ซึ่งเรื่องที่ดูไม่ใช่ Suckseed หรือ ศพเด็กฯ แต่เป็น RANGO~~~~~~~~~


     คือตอนแรกที่ผมดูเทรลเลอร์ก็ขำนะ ตลกดี Chara-Design ก็แปลกดีด้วย เลยชวนเพื่อนๆ(รวมผมด้วย 3 คนเอง) ไปดูกัน ซึ่งทั้งโรงคนน้อยโฮก คงเพราะเป็นวันธรรมดาละนะ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะมีมุกแนวๆอยู่เรื่อย+ความขี้โม้และเสียงของจอนนี่ เด็ปป์ เลยเป็นเรื่องนึงที่น่าดูเลยละ
     จะแย่ก็ตรงที่ข้างหลังผมมันดันเป็นเด็กอะดิ เปิดมามันก็พูดขึ้นมาเลยว่า "เคยดูแล้วๆ" (Me : บ่นไรนักหนาวะ ดูแล้วก็กลับไปดิ) แถมยังเตะเบาะอีกตะหาก ผมกับเพื่อนก็หันไปดู ไอ้ผมเห็นว่าเด็กก็เซ็งๆแล้วหันมาดูต่อ แต่ไอ้เพื่อนนะสิไม่ยอมวุ้ย ไปมองหน้าแม่เด็กประมานว่า "ไม่ดูแลลูกคุณละ อย่าให้รบกวนดิ" เอาจริงๆผมว่าถ้าจะพาเด็กไปดูหนังนะ เอาไปไว้ไกลๆคนหน่อยก็ดี อย่างน้อยก็น่าจะรู้นะ ว่าลูกเป็นยังไง ควบคุมไม่ได้ก็เอาไปไว้ไกลๆคนสิครับ นี่อะไร เตะเบาะคนอื่นก็เฉย เดี๋ยวพอโตไป ลูกเกเร ก็พ่อแม่นะแหละ ไม่สอนให้ดีเองนี่หว่า
     


งูหางกระดิ่ง(ปืนกล -*-) เท่มากตอนจบ โคตรๆ

    
ไอ้นกพวกนี้นี่มันไม่ใช่เล่นๆนะ มีโชว์กีต้าร์ไฟฟ้าด้วยเว้ยๆ